Содержание
- 2. ภาค 1 บททั่วไป ภาค 2 วิธีพิจารณาในศาลชั้นต้น ขอบเขตเนื้อหา
- 3. คู่ความ คู่ความร่วม ทนายความ ผู้รับมอบฉันทะ คำฟ้อง
- 4. คู่ความร่วม
- 5. คดีมีข้อพิพาทที่มีบุคคลหลายคนถูกโต้แย้งสิทธิ หรือหน้าที่ หรือกรณีที่บุคคลหลายคนเป็นผู้โต้แย้ง สิทธิหรือหน้าที่แก่บุคคลอื่น บุคคลดังกล่าวอาจ เป็นคู่ความร่วมในคดีเดียวกันมาตั้งแต่ที่มีการเสนอ คดีต่อศาลไม่ว่าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมก็ได้ คู่ความร่วม (มาตรา 59)
- 6. บุคคลหลายคนจะต้องมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความ แห่งคดี แม้จะไม่มีผลประโยชน์ร่วมกันในผลแห่งคดีก็ตาม แต่ถ้าเป็นการชำระหนี้ที่แบ่งแยกกันชำระไม่ได้ ถือว่าบุคคล เหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีเสมอ การเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมกัน จะต้องฟ้องเป็นสำนวนคดี เดียวกัน โดยโจทก์ทุกคนร่วมกันทำคำฟ้องมาฉบับเดียว ส่วนจำเลย ร่วมกันทุกคนจะร่วมกันยื่นคำให้การมาฉบับเดียว หรือแต่ละคนจะ แยกทำคำให้การมาเฉพาะส่วนของตนก็ได้ หลักเกณฑ์การที่จะเป็นคู่ความร่วม
- 7. จำเลยคนเดียวหรือหลายคนกระทำละเมิดโจทก์คนเดียว หรือหลายคน เจ้าของรวมหลายคน ลูกหนี้ร่วมหลายคน ผู้กู้กับผู้ค้ำประกัน ผู้เอาประกันภัยกับผู้รับประกันภัย นายจ้างลูกจ้าง ฯลฯ ตัวอย่างการมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี
- 8. 1. กรณีที่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยก จากกันได้ คู่ความเหล่านั้นย่อมไม่แทนซึ่งกันและกัน การกระทำ ของคู่ความร่วมคนใดหรือต่อคู่ความร่วมคนใดย่อมเป็น คุณและโทษเฉพาะคู่ความร่วมคนนั้น ผลของการเป็นคู่ความร่วม แบ่งออกเป็น 2 กรณี
- 9. 2.1 กระบวนพิจารณา (ดูมาตรา 1(7) “กระบวนพิจารณา” ) ซึ่งได้ทำโดยหรือทำต่อคู่ความร่วมคนหนึ่ง ถือว่าได้ทำโดยหรือทำ ต่อคู่ความร่วมคนอื่น ๆ ด้วย เว้นแต่กระบวนพิจารณาที่คู่ความร่วม คนหนึ่งกระทำไปนั้นเป็นที่เสื่อมเสียแก่คู่ความร่วมคนอื่น ๆ ย่อมไม่มีผลถึงคู่ความร่วมคนอื่น ๆ
- 10. ตัวอย่าง ที่ถือว่ากระบวนพิจารณาที่กระทำไปนั้น เป็นที่เสื่อมเสีย แก่คู่ความร่วมคนอื่น ๆ คำพิพากษาฎีกา 382/2506 คำให้การของจำเลยที่ 1 ที่ ยอมรับผิดตามฟ้อง ย่อมไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ด้วย คำพิพากษาฎีกา 1713-1714/2523
- 11. ตัวอย่าง ที่ถือว่ากระบวนพิจารณาที่กระทำไปนั้น ไม่เป็นที่เสื่อม เสียแก่คู่ความร่วมคนอื่น ๆ คำพิพากษาฎีกา 5264/2549 จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่าฟ้องเคลือบคลุม ย่อมถือว่าจำเลยที่ 2 ซึ่ง ขาดนัดยื่นคำให้การหรือยื่นคำให้การแต่ไม่ได้ให้การต่อสู้เรื่องฟ้องเคลือบคลุมด้วย กรณีเช่นนี้ถือว่าคำให้การของจำเลยที่
- 12. ข้อพิจารณา : ให้ดูว่าเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกัน ได้หรือเป็นกรณีที่แบ่งแยกจากกันไม่ได้ เพราะมีผลต่างกัน กรณีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันได้ (ดู ป.พ.พ. มาตรา 295) หลัก : การที่ลูกหนี้ร่วมถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกัน ถ้าลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งยกอายุความขึ้นต่อสู้ ไม่ถือว่าลูกหนี้ร่วมคนอื่นยกอายุความขึ้นต่อสู้ด้วย (ถือว่าเป็นเหตุส่วนตัว)
- 13. คำพิพากษาฎีกา 4715/2530 จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้ เรื่องอายุความไว้ แม้จำเลยอื่นให้การต่อสู้ไว้ ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของ จำเลยเหล่านั้น หาทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์ในเรื่องอายุความ ด้วยไม่ จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจยกเรื่องอายุความขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้
- 14. กรณีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันไม่ได้ หลัก : ในกรณีที่ลูกหนี้ร่วมถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกัน และหนี้นั้น เป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันไม่ได้ การที่ลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งยกอายุความขึ้นต่อสู้ ย่อมถือว่าลูกหนี้ร่วมคนอื่นที่ไม่ได้ให้การถึงเรื่องอายุความ รวมถึงลูกหนี้ร่วมที่ขาดนัดยื่นคำให้การได้รับประโยชน์ในเรื่องอายุความนั้นด้วย (ถือว่าเป็นเหตุในลักษณะคดี) (ดู ป.วิ.แพ่ง มาตรา 245(1) และมาตรา 247
- 15. คำพิพากษาฎีกา 351/2510 โจทก์ฟ้องให้จำเลยร่วมกันส่ง มอบช้างคืน มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกัน ไม่ได้ การที่จำเลยคนหนึ่งยื่นคำให้การต่อสู้เรื่องอายุความ ถือว่า จำเลยทำแทนซึ่งกันและกัน จำเลยอื่นจึงได้รับผลแห่งอายุความด้วย
- 16. คำพิพากษาฎีกา 914/2538 จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วม มูล ความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันไม่ได้ การที่จำเลยที่ 2 ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกัน เมื่อปรากฏว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกาแม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา
- 17. ทนายความ ผู้รับมอบอำนาจ ผู้รับมอบฉันทะ
- 18. ใบอนุญาตเลขที่ 1086/2541
- 19. คู่ความจะดำเนินคดีเอง โดยไม่ตั้งทนายความได้หรือไม่
- 20. มาตรา 60
- 21. มาตรา 61 การตั้งทนายความนั้น ต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อตัวความและทนายความแล้วยื่นต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวน ใบแต่งทนายนี้ให้ใช้ได้เฉพาะคดีเรื่องหนึ่ง ๆ ตามที่ได้ยื่นไว้เท่านั้น เมื่อทนายความผู้ใดได้รับมอบอำนาจทั่วไปที่จะแทนบุคคลอื่นไม่ว่าในคดีใด ๆ ให้ทนายความผู้นั้นแสดงใบมอบอำนาจทั่วไป แล้วคัดสำเนายื่นต่อศาลแทนใบแต่งทนาย เพื่อดำเนินคดีเป็นเรื่อง ๆ ไปตามความในมาตรานี้ การตั้งทนายความ
- 22. 1. ในแต่ละคดีไม่จำเป็นต้องมีทนายความก็ได้ หากตัว ความสามารถความรู้ความสามารถที่จะดำเนินคดีได้ด้วย ตนเอง 2. ในกรณีที่ตัวความประสงค์จะตั้งทนายความ ต้องทำ ใบแต่งทนายตามแบบพิมพ์ที่กำหนดไว้ ลงลายมือชื่อตัวความและทนายความแล้วยื่นต่อศาลรวมไว้ในสำนวน ข้อพิจารณา
- 23. 3. ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดี สามารถลงชื่อในใบแต่งทนายความได้ ไม่ถือว่าเป็นการมอบอำนาจช่วง (ฎีกา 247/2550) 4. ในกรณีผู้รับมอบอำนาจมีอาชีพเป็นทนายความอยู่แล้ว จะทำใบแต่งทนายความตั้งตนเองเป็นทนายความในคดีก็ได้ (ฎีกา 4929/2549) 5. ใบแต่งทนายความให้ใช้ได้เฉพาะคดีใดคดีหนึ่งเท่านั้น และให้ใช้ได้เฉพาะสำหรับคู่ความและทนายความคนหนึ่งเท่านั้น กรณีคู่ความหลายตนตั้งทนายความคนเดียวกันต้องแยกทำใบแต่งทนายคนละใบ 6
- 24. ดู ป.วิ.แพ่ง มาตรา 62 อำนาจของทนายความ
- 25. 1. ทนายความมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในศาลแทนตัวความตามที่เห็นสมควรเพื่อรักษาประโยชน์ของตัวความ แต่ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยจะมอบฉันทะให้ผู้อื่นทำแทนตนก็ได้ (ฎีกา 321/2503 (ประชุมใหญ่) 2. ทนายความไม่ใช่ตัวความ ทนายความจึงแต่งตั้งผู้อื่นให้เป็นทนาย ความไม่ได้จะต้องให้ตัวความแต่งตั้งทนายความอีกคนหนึ่งให้ทำหน้าที่ร่วมกับตนหรือแยกกันก็ได้ ข้อพิจารณา
- 26. 3. ทนายความมีอำนาจลงลายมือชื่อในคำคู่ความ คำร้อง คำขอ หรือคำแถลง 4. การแถลงรับข้อเท็จจริงในศาล ทนายความย่อมมีอำนาจ กระทำได้และผูกพันตัวความ 5. การส่งคำคู่ความหรือเอกสาร จะส่งไปยังทนายความก็ได้ 6. ในคดีที่จำเลยฟ้องแย้งโจทก์ ทนายโจทก์ย่อมมีอำนาจ ดำเนินคดีในส่วนของฟ้องแย้งได้โดยไม่จำต้องทำใบแต่งทนายความในส่วนของฟ้องแย้งอีก
- 27. 7 . ทนายความที่ได้รับแต่งตั้งจากตัวความ ย่อมมีอำนาจดำเนินคดีใน ชั้นบังคับคดีโดยไม่ต้องทำใบแต่งทนายความใหม่อีก (ฎีกา 272/2533) 8. ทนายความจะดำเนินกระบวนพิจารณาไปในทางจำหน่ายสิทธิของ ตัวความไม่ได้ ใน 6 กรณี เว้นแต่ ในใบแต่งทนายความจะระบุให้มีอำนาจ คือ
- 28. ดู ป.วิ.แพ่ง มาตรา 65 การพ้นจากหน้าที่ทนายความ
- 29. 1. ตามมาตรา 65 เป็นกรณีที่ทนายความที่ได้รับแต่งตั้งประสงค์ถอนตนเองจากการเป็นทนายความในคดีนั้น 2. ในกรณีที่ตัวความประสงค์จะถอนทนายความ ใช้หลักกฎหมายตัวการตัวแทนทั่วไป เพราะการตั้งทนายความถือว่าเป็นการตั้งตัวแทนอย่างหนึ่ง (ฎีกา789/2550) 3. ทนายความจะถอนตัวได้จะต้องได้รับอนุญาตจากศาล จึงต้องยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาต การที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตได้จะต้องเป็นที่พอใจว่าทนายความได้แจ้งให้ตัวความทราบแล้ว เว้นแต่จะหาตัวความไม่พบ ข้อพิจารณา
- 30. 4. ในกรณีที่ทนายความยื่นขอถอนตัวโดยที่ตัวความไม่ทราบ ศาลจะ อนุญาตให้ทนายความถอนตัวไม่ได้ จึงต้องถือว่าทนายความยังคงมีฐานะ ทนายความอยู่ ต้องว่าความหรือดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป (ฎีกา 3901/2532) 5. ศาลจะอนุญาตให้ถอนตัวได้ต่อเมื่อกรณีมีเหตุผลอันสมควร ถ้าไม่มีเหตุอันสมควรศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจไม่ให้ถอนตัวก็ได้ เช่น ทนายความมีเจตนาประวิงคดี (ฎีกา 696/2538)
- 31. 6. ทนายความเป็นตัวแทนของตัวความ ถ้าตัวความถึงแก่ความ ตายสัญญาตัวแทนย่อมระงับไป แต่ทนายความยังคงมีอำนาจและ หน้าที่จัดการดำเนินคดีเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของตัวความต่อไป ได้จนกว่าทายาทของตัวความจะเข้ามาปกปักรักษาประโยชน์ของตัว ความตาม ป.พ.พ. มาตรา 828 กรณีตัวความตายหลังจากศาลชั้นต้น มีคำพิพากษา ทนายความย่อมมีอำนาจลงนามในฐานะทนายความ ในคำฟ้องอุทธรณ์แทนตัวความได้ (ฎีกา
- 32. คำฟ้อง
- 33. คำฟ้องเริ่มต้นคดีมีความสำคัญอย่างมากเพราะจะเป็นฐานและ กำหนดขอบเขตที่จะใช้ในการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปจนคดีถึงที่สุด เนื่องจากคำฟ้องเป็นการเสนอข้อหาซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นสาระสำคัญตามที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 172 ความเข้าใจเบื้องต้น
- 34. ข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องและจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธ หรือปฏิเสธไม่ชัดแจ้ง ถือว่าข้อเท็จจริงนั้นจำเลยได้ยอมรับแล้ว จึงฟังเป็นยุติตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 คำให้การของจำเลยที่จะยกเป็นข้อต่อสู้ จะต้องเป็นการยอมรับ หรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ตามคำฟ้อง จะให้การนอกกรอบ ของคำฟ้องไม่ได้ ความสำคัญของคำฟ้อง
- 35. การขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องจะทำได้เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม พอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดเข้าด้วยกันได้ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา180 จะเพิ่มเติมประเด็นนอกเหนือจากฟ้องเดิมไม่ได้ ในการชี้สองสถาน ศาลจะต้องนำคำฟ้องมาเปรียบเทียบกับคำให้ การและกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาท ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 182 ศาลจะต้องพิจารณาพิพากษาคดีตามประเด็นที่โจทก์กล่าวมาใน คำฟ้องทุกข้อ และจะพิพากษาเกินไปกว่าคำขอท้ายฟ้องของโจทก์
- 36. ในกรณีที่จำเลยจะฟ้องแย้งโจทก์ ฟ้องแย้งจะต้องเกี่ยวข้องกับ ฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดเข้าด้วยกันได้ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม , 179 วรรคท้าย ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในคำฟ้องแล้ว โจทก์หรือจำเลยย่อมยกขึ้น อุทธรณ์หรือฎีกาได้ ตาม ป.วิ.แพ่ง
- 37. คำฟ้องเป็นคำคู่ความตามมาตรา 1 (3) ดังนั้น รูปแบบของคำฟ้อง จึงต้องปฏิบัติให้เป็นไปตาม ป.วิ.แพ่ง ภาค 1 หมวด 5 เรื่อง รายงานและสำนวนความ ตามมาตรา 46 รูปแบบของคำฟ้อง
- 38. การเสนอข้อหาเป็นคดีมีข้อพิพาท ป.วิแพ่ง มาตรา 172 บังคับว่าจะต้องทำเป็นหนังสือ ดังนั้นโจทก์จะต้องแสดงหรือกล่าวถึงรายละเอียดโดยบรรยายฟ้องตามบทบัญญัติกฎหมายสารบัญญัติถึงเหตุที่มีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ที่ต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลบังคับจำเลย ถ้าฟ้องของโจทก์สมบูรณ์แล้ว ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ตามคำฟ้องหรือไม่ เป็นเรื่องที่จะต้องนำสืบพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐานตามกฎหมายลักษณะพยานต่อไป การบรรยายฟ้อง
- 39. ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ส่วนต้น เป็นรายละเอียดที่แสดงถึงตัวโจทก์และจำเลย ส่วนกลาง เป็นใจความที่แสดงถึงสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างอันอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ส่วนท้าย เป็นคำขอบังคับที่จะขอให้ศาลมีคำพิพากษาบังคับจำเลย ผู้เรียงและผู้เขียนหรือพิมพ์ และลายมือชื่อ รายการในคำฟ้อง
- 40. ป.วิ.แพ่ง มาตรา 55 กำหนดว่าโจทก์และจำเลยต้องเป็น บุคคล ซึ่งอาจเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล รวมทั้ง ตำแหน่งตามหน้าที่ราชการก็เป็นโจทก์หรือจำเลยได้ 1. ส่วนต้น (รายละเอียดเกี่ยวกับโจทก์และจำเลย)
- 41. ป.วิ.แพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง กำหนดว่า คำฟ้องต้อง แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างอันอาศัยเป็น หลักแห่งข้อหา ซึ่งก็จะต้องบรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งพอ (ไม่ เคลือบคลุม) ที่จะให้จำเลยเข้าใจว่าถูกฟ้องเรื่องอะไรจะได้ แก้ข้อหาได้อย่างถูกต้อง เป็นการเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้ คดีได้อย่างเต็มที่
- 42. การบรรยายฟ้องคดีแพ่งเป็นการกล่าวถึงข้อเท็จจริง จึงไม่ จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำในกฎหมาย ทั้งไม่ต้องระบุกฎหมายที่ เกี่ยวข้อง หรือที่ขอให้บังคับเหมือนอย่างคดีอาญา (ฎีกา 7767/2543) เพราะเป็นเรื่องที่ศาลรู้ได้เอง แต่ระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎกระทรวง มิใช่กฎหมาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกล่าวถึงหรือแนบติดมาท้ายฟ้อง (ฎีกา 542/2546)
- 43. กฎหมายต่างประเทศ ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องกล่าวมาในคำฟ้อง (ฎีกา 447/2540)
- 44. เป็นส่วนที่โจทก์แสดงให้เห็นถึงสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย แพ่งที่โจทก์มีอยู่อันเป็นฐานที่จะกล่าวอ้างว่าจำเลยได้กระทำการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่นั้นอย่างไร เช่น คำพิพากษาฎีกา 347/2521 ฟ้องขอให้เปิดทางภาระ จำยอม สภาพแห่งข้อหาคือที่ดินของโจทก์ได้ภาระจำยอมเหนือที่ดินของจำเลยมาอย่างไร 2.1 สภาพแห่งข้อหา
- 45. คำพิพากษาฎีกา 53/2530 ฟ้องเรียกค่านายหน้า สภาพแห่งข้อหาคือ ต้องระบุว่าตนเป็นผู้ชี้ช่องอย่างไร สำเร็จกี่ราย คำพิพากษาฎีกา 2525/2545 ผู้ทรงเช็คฟ้องให้ผู้ สั่งจ่ายรับผิดตามเช็ค สภาพแห่งข้อหาคือ ผู้สั่งจ่ายเป็นผู้ลงลายมือชื่อในเช็ค คำพิพากษาฎีกา 596/2531 ผู้ค้ำประกันฟ้องไล่เบี้ยเรียก เงินคืนจากลูกหนี้ชั้นต้น
- 46. คำพิพากษาฎีกา 821/2515 (ประชุมใหญ่) อายุความไม่ใช่สภาพแห่งข้อหา โจทก์จึงไม่จำต้อง กล่าวในฟ้องว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใด แม้ตามข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าฟ้องคดีโจทก์ขาดอายุ ความแล้วก็ตาม ข้อสังเกต : ในเรื่องของอายุความ
- 47. เป็นส่วนที่แสดงถึงการกระทำที่เป็นมูลให้จำเลยต้อง รับผิดหรือเป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมาย แพ่ง ซึ่งจะต้องสอดคล้องกันกับสภาพแห่งข้อหา เช่น ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ต้องตามความประ สงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ หรือลูกหนี้กระทำผิดสัญญา หรือกระทำให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้ 2.2 ข้ออ้างอันอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา
- 48. เป็นส่วนที่แสดงความประสงค์ของโจทก์ที่จะขอให้ ศาลพิพากษาบังคับจำเลย ซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญที่จะขาดไม่ได้ เพราะการฟ้องคดีมีข้อพิพาทจะต้องเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทโดยมีคำพิพากษา 3. คำขอบังคับและการลงลายมือชื่อท้ายฟ้อง
- 49. คำขอบังคับจะต้องคำนึงด้วยว่าสภาพแห่งหนี้เปิดช่องให้ขอ บังคับกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 หรือไม่ คำขอบังคับจะต้องเป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลย จะมีคำ ขอบังคับแก่บุคคลภายนอก หรือมีผลกระทบต่อบุคคลภายนอก ไม่ได้ (ฎีกา 3429/2535) คำขอบังคับจะต้องเป็นการขอบังคับเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ จะขอบังคับให้เป็นประโยชน์แก่โจทก์คนอื่นที่เป็นโจทก์ร่วมหรือ บุคคลภายนอกไม่ได้ หลักเกณฑ์ที่สำคัญ
- 50. กรณีที่ฟ้องจำเลยหลายคนเป็นจำเลย อาจขอบังคับให้จำเลยทุกคนร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์ หรือแต่ละคนรับผิดไม่เท่ากัน หรือแตกต่างกัน หรือแยกกันรับผิดก็ได้ โจทก์ต้องมีคำขอบังคับได้เพียงเท่าที่สิทธิของตนมีอยู่ตามกฎหมาย หากมีคำขอเกินสิทธิที่ตนมีอยู่ ศาลไม่สามารถพิพากษาให้ได้ (ฎีกา 5983/2531)
- 51. ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีลงลายมือชื่อเป็นโจทก์ได้ และมีอำนาจเรียงคำฟ้องได้ด้วย ถ้าเรียงคำฟ้องเองก็สามารถลงลายมือชื่อเป็นผู้เรียงได้ (ฎีกา 2947/2516 (ประชุมใหญ่)) ทนายความมีอำนาจลงลายมือชื่อเป็นโจทก์ได้ โดยไม่ ต้องมีใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดีต่างหาก (ต่างจากคดีอาญา ทนายความไม่สามารถลงลายมือชื่อท้ายฟ้องเป็นโจทก์ได้ ต้องให้ตัวความหรือผู้รับมอบอำนาจเป็นผู้ลงลายมือชื่อ) การลงลายมือชื่อท้ายฟ้อง
- 52. คำฟ้องนอกจากจะต้องมีข้อความครบถ้วนทุกส่วนตาม ป. วิ.แพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง คือสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ ข้ออ้างอันอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา และคำขอบังคับแล้ว ใน การบรรยายฟ้องจะต้องมีข้อความที่ชัดแจ้งเพียงพอที่จะให้ เข้าใจได้ด้วย หลายคดีจำเลยมักจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ว่าฟ้อง โจทก์เคลือบคลุม ซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัย เพราะถ้าฟ้องโจทก์
- 53. คำว่า “ ฟ้องเคลือบคลุม” ไม่มีบัญญัติไว้ในกฎหมาย แต่ เป็นภาษาที่นักกฎหมายใช้เรียกกัน หมายถึง ฟ้องที่ไม่ชัดแจ้ง พอที่จะให้เข้าใจได้ ฟ้องเคลือบคลุม เป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่ไม่ใช่ข้อกฎหมาย เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 142(5)
- 54. หลักเกณฑ์ที่จะพิจารณาว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ ต้องพิจารณาจากคำบรรยายฟ้องของโจทก์เป็นหลัก โดยไม่ ต้องพิจารณาว่าจำเลยจะหลงข้อต่อสู้หรือไม่ เพราะคำฟ้อง เคลือบคลุมหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับคำให้การ แม้จำเลยจะให้การ รับตามฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องเคลือบคลุมเป็นฟ้องที่ชอบด้วย กฎหมายขึ้นมาได้ (ฎีกา 3996/2546) ในกรณีที่โจทก์ฟ้องหลายข้อหา ฟ้องเคลือบคลุมอาจจะเป็น เฉพาะบางข้อหาก็ได้
- 55. (1) คำฟ้องไม่แจ้งชัดว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยโดยอาศัยสิทธิใด เช่น - ฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิด แต่ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์เกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กับผู้ตายอย่างไร อันจะมีผลทำให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย (ฎ.2874/2550) - ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้รับประกันภัย แต่ไม่ได้บรรยายฟ้องเชื่อมโยงไปว่าผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัย (กรณีผู้กระทำละเมิดไม่ใช่ผู้เอาประกันภัย) และบุคคลอื่นที่กระทำละเมิดมีความสัมพันธ์กับผู้เอาประกันภัยอย่างไร (ฎ.439/2541) ตัวอย่างฟ้องเคลือบคลุม
- 56. (2) เนื้อหาคำฟ้องไม่สมบูรณ์ - การรับสภาพหนี้ที่ไม่ได้บรรยายความเป็นมาแห่งมูลหนี้เดิม (ฎ.8059/2556) (ถ้าโจทก์ไม่ได้บรรยายหนี้เดิมมาให้ชัดแจ้ง ย่อมเป็นฟ้องเคลือบคลุม) ตัวอย่างฟ้องเคลือบคลุม
- 57. (3) ข้อเท็จจริงไม่แจ้งชัด - ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างไร และกระทำผิดต่อกฎหมายประการใด (ฎ.5779/2539) - ฟ้องผู้ค้ำประกัน หากบรรยายฟ้องระบุหนี้เงินต้นและหนี้ดอกเบี้ยตามสัญญากู้ 2 ฉบับ รวมกันมาและเอกสารท้ายฟ้องก็ไม่ได้แยกหนี้ตามสัญญากู้แต่ละฉบับออกจากกัน จำเลยที่ 5 ผู้ค้ำประกันสัญญากู้ฉบับเดียวย่อมไม่ทราบว่าหนี้ที่ตนต้องรับผิดมีเพียงใด เป็นฟ้องเคลือบคลุม
- 58. (4) เนื้อหาขัดแย้งกัน (สภาพแห่งข้อหากับข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาขัดแย้งกัน หรือขัดแย้งกับคำขอบังคับ) เช่น - สภาพแห่งข้อหาขัดแย้งกัน เช่น กล่าวอ้างว่าเป็นพินัยกรรมปลอมเพราะผู้ตายไม่ได้ทำขึ้นและลายมือชื่อไม่ใช่ของผู้ตาย แต่หากศาลฟังได้ว่าเป็นลายมือชื่อของผู้ตายจริง พินัยกรรมนั้นก็ไม่สมบูรณ์ = ฟังได้ 2 นัยคือ พินัยกรรมปลอม
- 59. (5) บรรยายฟ้องไม่เป็นไปตามกฎหมายสารบัญญัติ - คดีเช็ค ต้องบรรยายว่าโจทก์รับเช็คอย่างไร และเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายอย่างไร แล้วจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายต้องรับผิด แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องบรรยายว่าจำเลยสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ใดแก่โจทก์ เพราะสามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา - คดีฟ้องแบ่งแยกที่ดิน แบ่งแยกแล้วขนาดเนื้อที่จะกว้างเท่าใดไม่ต้องกล่าว เพราะเป็นรายละเอียดที่นำสืบได้ในชั้นพิจารณา - ฟ้องเรียกผู้ค้ำประกันให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
- 60. 1. ฟ้องเคลือบคลุมไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นจำเลยต้องยกข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคุลมอย่างไร หากจำเลยไม่ยกข้อต่อสู้ จะยกประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมไปอุทธรณ์/ฎีกาไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ข้อสังเกต
- 61. 2. หากศาลยกฟ้องเพราะฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ก็ฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ และศาลจะไม่สั่งคืนค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ 3. คำฟ้องที่เคลือบคลุมจนศาลไม่สามารถบังคับให้ได้เลย เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เช่น ผู้ร้องบรรยายคำร้องว่า ซื้อที่ดินมาจาก ส แสดงว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินเอง ไม่ใช่ที่ดินของผู้อื่นตาม ป.พ.พ.
- 62. เวลาและสถานที่ บุคคล ทรัพย์สิน เอกสาร สัญญา การกระทำ ความเสียหาย เหตุที่จะทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุม
- 63. คำฟ้องเป็น “คำคู่ความ” ตามมาตรา 1(5) เมื่อโจทก์ยื่น ฟ้องแล้ว ศาลจะใช้อำนาจตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 18 และ มาตรา 172 วรรคสาม ตรวจดูคำฟ้องว่าจะรับไว้พิจารณาได้ หรือหรือไม่
- 65. Скачать презентацию